การนำภาชนะที่ โฟม มาบรรจุอาหารร้อน ระวัง สไตรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งออกมาปนเปื้อนกับของกินที่บรรจุอยู่ได้
นพ.ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า สมัยนี้ผู้ขายผู้ขายของกินตามสั่ง อาหารสำเร็จรูป นิยมใช้กล่องโฟมเป็นภาชนะบรรจุของกิน เช่นนี้เนื่องจากมีความราบรื่น เร็ว ถึงอย่างไร การนำภาชนะ โฟม มาบรรจุอาหารร้อนจำเป็นจะต้องต้องระแวดระวัง เนื่องด้วยการแตะต้องกับของกินร้อนจัดเป็นช่วงเวลานาน อาจทำให้ภาชนะผิดรูปและอาจหลอมละลายจนมีสาร สไตรีน ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งออกมาปนเปื้อนกับของกินที่บรรจุอยู่ได้
โดยจำนวนการละลายออกมาของสไตรีนจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่าง เป็น ไขมันในของกิน ช่วงเวลา และอุณหภูมิระหว่างการแตะต้องของของกินกับภาชนะ ซึ่งอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้มีการละลายออกมาของสไตรีนมากกว่าของกินที่ไม่มีไขมันเป็นองค์ประกอบเช่นนี้ในส่วนของการกำกับคุณลักษณะของภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารในสมัยนี้นั้น สธ. ได้มีข่าวกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 111 (พ.ศ.2531) ที่คุมเกี่ยวกับภาชนะที่พลาสติกบรรจุอาหาร ซึ่งถ้วนทั่วพลาสติกชนิดโพลิสไตรีน ที่ใช้ในการเกิดภาชนะที่โฟม โดยได้กำหนดจำนวนสารอันตรายที่อาจจะมีค้างอยู่ในเนื้อภาชนะที่ในปริมาณที่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อการนำไปใช้งานทั่วๆ ไป
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า จากการสำรวจศึกษาวิจัยภาชนะโฟมบรรจุอาหารที่วางขายตามท้องท้องตลาดของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าได้มาตรฐานทุกแบบ และจากการตรวจพิจารณาผลิตภัณฑ์ประเภทโฟมที่ใส่ของกินที่ผู้ก่อตั้งเอามาตรวจวิเคราะห์เพื่อการประกันผลิตภัณฑ์ ก็พบว่ามีคุณลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดด้วย ล่าสุดพบว่ามีการนำภาชนะโฟมไปใช้ไม่เหมาะกับสภาพอาหาร เช่น นำไปใส่อาหารที่ร้อนจัด หรือนำอาหารที่บรรจุในกล่องโฟมมาอุ่นในเตาไมโครเวฟ ซึ่งหากอุ่นอาหารจนมีความร้อนสูงก็อาจทำให้กล่องโฟมละลาย เพื่อความปลอดภัย
ควรใช้ภาชนะที่โฟมบรรจุอาหารให้สมควรกับสภาพของของกิน เช่น ไม่ควรใช้บรรจุอาหารที่ร้อนจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกินทอดด้วยน้ำมัน เพราะสไตรีนจะละลายได้ดีในน้ำมัน ก่อนนำภาชนะโฟมมาใช้ควรขจัดเศษโฟมที่หลงเหลืออยู่ตามผิวภาชนะที่ออกก่อน หรือใช้ถุงพลาสติกใสรองกล่องโฟมก่อนบรรจุของกิน สำหรับการอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟนั้น ควรนำอาหารใส่ภาชนะกระเบื้องเคลือบหรือภาชนะที่แก้วทนไฟ และไม่ควรนำกล่องโฟมที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ เช่นนี้เพื่อคุ้มกันการละลายออกมาของสารเคมีที่อาจจะเกิดพิษเก็บและเป็นผลร้ายต่อสุขภาพ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น